วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไส้กรองอากาศ สำคัญอย่างไร


 ไส้กรองอากาศ มีหน้าที่อะไร ทำไมต้องเสียเงินเปลี่ยนบ่อยๆ ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วจะเกิดอะไรกับรถของเราบ้าง ถ้าเปลี่ยนแล้วต้องใช้ไส้กรองแบบใด วันนี้ เราจะได้ทราบกันแล้วนะครับ



ไส้กรองอากาศ (Ari  filter)

ไส้กรองอากาศมีหน้าที่สำคัญ  คือ  ดักฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์  แต่เมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจทำให้เกิดอาการอุดตัน  ส่งผลให้อากาศผ่านเข้าไปในกระบอกสูบได้น้อยลง  ทำให้การเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์  ปกติเราควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุก 20,000 กิโลเมตร หรือกว่านั้นหากขับขี่รถในบริเวณที่มีฝุ่นมากเป็นประจำ  เมื่อไส้กรองอากาศสกปรกจะสามารถสังเกตอาการของรถยนต์ได้  ดังนี้
1.  เครื่องยนต์กำลังตก
2.  เครื่องยนต์สั่น
3.  สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ
4.  ควันไอเสียมีสีดำ
โดยทั่วไปปริมาณอากาศที่ใช้ในการเผาไหม้ของเครื่องยนต์นั้นมี น้ำหนักประมาณ 15 เท่าของน้ำมันเชื้อเพลิงหรือประมาณ 100-200 ลบ.ฟุต ต่อนาที  ซึ่งนับว่ามีปริมาณค่อนข้างเยอะทีเดียว  หากมีฝุ่นผงสิ่งสกปรกปะปนอยู่ในอากาศ  และสิ่งเหล่านี้เข้าไปในห้องเผาไหม้  จะทำให้เกิดการสึกหรอในเครื่องยนต์สูง  จากอายุการใช้งาน  200,000  กม. อาจจะลดลงมาเหลือแค่ 50,000 กม. ก็เป็นได้  ด้วยเหตุนี้จึงต้องมี 
“ไส้กรองอากาศ”  เอาไว้กรองหรือกักเก็บ สิ่งเหล่านี้เอาไว้  ไม่ให้เล็ดลอดเข้าไปในห้องเผาไหม้

นอกจากนั้น  ไส้กรองยังมีส่วนช่วยลดเสียงดังที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์ลดอากาศเข้าไปอีก ด้วย  โดยไส้กรองจะทำหน้าที่เป็นผนัง  กั้นเสียงของลมที่ลูกสูบดูดเข้าไปในห้องเผาไหม้ทางท่อไอดีไส้กรองอากาศของรถ ยนต์  ที่นิยมใช้งานส่วนใหญ่  มีอยู่  2  ชนิด  คือ แบบเปียก  และแบบแห้ง

ไส้กรองอากาศแบบเปียก

ไส้กรองแบบเปียก  หรือ “ไส้กรองแบบน้ำมัน”  ใช้น้ำมันเป็นตัวจัดการกับฝุ่นผง  ซึ่งนิยมใช้กันอยู่  ในรถรุ่นเก่าอย่างรถเบนซ์ยุค  “หลังเต่า”  หรือ “หลังคาโค้ง”  สมัยทศวรรษที่ 50 หรือในรถโฟล์ค  “เต่า”  ลักษณะของไส้กรองแบบเปียกจะมีน้ำมันหล่อไว้ภายใน  อากาศจะไหลผ่านไปในหม้อกรอง  ลงสู่ด้านล่างที่มีน้ำมันขังอยู่  เศษฝุ่นผง  ที่หนักกว่าจะวิ่งไปสู่น้ำมันและถูกจับเอาไว้  พร้อมกันนั้นอากาศที่วนกลับขึ้นสู่ด้านบนก็จะพาเอาละอองน้ำมันเป็นฝอยเล็ก ๆ ติดไปด้วย ฝุ่นละอองในอากาศจะเกาะกับฝอยน้ำมันเหล่านั้น  เมื่อผ่านตะแกรงโลหะก็จะถูกกรองเอาไว้  ต่อจากนั้นอากาศจะวนกลับลงมาอีกครั้ง  เข้าสู่ใจกลางหม้อกรองแล้วเข้าสู่ห้องเผาไหม้

ไส้กรองอากาศแบบแห้ง

ไส้กรองอากาศแบบแห้งส่วนใหญ่จะทำจากกระดาษกรองพับเป็นครีบ หรือบางทีก็ทำด้วยเส้นใยสังเคราะห์ รถรุ่นใหม่นิยมใช้ไส้กรองแบบนี้มาก เพราะมีน้ำหนักเบาใช้เนื้อที่น้อย หรือสามารถออกแบบในลักษณะต่างๆ เก็บไว้ตามที่ว่างได้ง่าย และไม่ยุ่งยากในการทำความสะอาด หรือเปลี่ยนใหม่

อย่างไรก็ตามระหว่างการใช้งานที่ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนไส้กรอง เราก็ควรถอดออกมาทำความสะอาด ทุกๆ 2,000-5,000 กม. โดยขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น ถ้าขับรถยนต์อยู่ในเมืองเป็นประจำ หรือใช้งานในเส้นทางที่มีฝุ่นมาก ก็ควรทำความสะอาดบ่อยครั้งกว่า ถ้าเป็นไส้กรองแบบเปียกควรถอดออกมาล้างและเปลี่ยนน้ำมัน ส่วนพวกไส้กรองอากาศแบบแห้ง ชนิดที่ไส้กรองเป็นกระดาษธรรมดาสามารถนำมาเป่าทำความสะอาดได้โดยเป่าจากภาย ในออกสู่ภายนอก ถ้าเป่าย้อนทางจากภายนอกเข้าสู่ด้านใน ลมที่เป่าจะดันให้ละอองให้ฝังตัวลึกเข้าไปอีก ทำให้ไส้กรองอุดตันเร็วและมากกว่าเดิม

ไส้กรองอากาศแบบแห้ง สามารถแบ่งตามลักษณะออกเป็น 2 ประเภทคือ แบบที่เป็นกระดาษกรอง หรือเส้นใยตามธรรมดา กับแบบที่มีน้ำยาเคลือบกระดาษกรองเอาไว้ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการดักจับสิ่งสกปรกให้ดีขึ้น ลักษณะคล้ายๆ กับพวกไส้กรองแบบเปียกนั่นเอง แต่ผู้ผลิตจะเคลือบน้ำยามาให้เรียบร้อย ไม่ต้องมาชโลมเองกันภายหลัง เมื่อไส้กรองอากาศผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง สิ่งสกปรกที่ติดอยู่กับไส้กรองก็จะทำให้ไส้กรองอุดตัน อากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้ได้สะดวกและมากเท่าที่ควร เครื่องยนต์มีอัตราเร่งลดต่ำลงพร้อมทั้งมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงขึ้น จึงต้องทำการเปลี่ยนไส้กรองหรือทำความสะอาดไส้กรอง โดยทั่วไปไส้กรองอากาศนี้จะมีอายุการใช้งานประมาณ 10,000 กม. หรือ ตามที่บริษัทรถกำหนดไว้